26 พฤศจิกายน 2557

เดิน มอง ดู

โดยปกติ
เวลาไปเที่ยวที่ไหน
ส่วนใหญ่ เรามักจะไปโดยรถ
ไม่ว่ารถส่วนตัว หรือรถบัสขนาดใหญ่
ตัวฉันก็มักจะเป็นแบบนั้นซะส่วนมาก
ไปดูสถานที่ท่องเที่ยวใด
ก็จะได้ไปโดยพาหนะไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
ไปตามจุดต่างๆ ตามที่โปรแกรมกำหนดไว้
หลายคนเป็นเหมือนกันไหม?

มีคนคนหนึ่ง
แนะนำเส้นทางท่องเที่ยวอีกแบบให้กับฉันได้รู้จัก
นั่นคือการเดิน 
เริ่มต้นโดยรถประจำทาง / รถเมล์ หรือ รถไฟ 
ตามโอกาสที่อำนวยเหมาะสม
และมุ่งหน้าไปในที่ที่ต้องการจะไป
จากนั้น ก็เดิน...
เดินชมโบราณสถาน อาคาร ผู้คน ไปเรื่อยๆ
เหนื่อยก็หยุดพัก
ส่วนใหญ่เขาจะเป็นคนนำทาง
ชี้ให้ดูตรงนั้น ตรงนี้ เล่าประสบการณ์ให้ฟังหลายๆเรื่อง
ชักชวนฉันไป ในที่ที่เขาเคยไปมาแล้วบ้าง
แล้วเขามักจะถามเสมอ
ว่าเดินเหนื่อยมั้ย กลัวทำให้ลำบาก...

แต่ฉันกลับรู้สึกว่า การเดินเที่ยว ไม่ว่าจะไปที่ไหน
มันทำให้ได้อยู่กับตัวตนของเราและสิ่งรอบข้างตรงนั้นมากขึ้น
การที่เดินเพื่อไปถึง เราได้สัมผัส "ระหว่างทาง"
ระหว่างทางที่บนรถอาจมองไม่เห็น
ระหว่างทางที่บางมุมเราขึ้นรถกลับเราจะไม่รู้
ระหว่างทางอาจมีบางอย่างที่เราไม่ได้สัมผัสใกล้ชิด
หรือบางวัตถุก็ไม่ได้จดจำ 
ทำได้เพียงแค่เดินไปถ่ายรูปกับมันแล้วก็กลับ

เลยรู้สึกว่า บางครั้ง เทคโนโลยีอาจทำให้คนห่างไกลจากการมองด้วยตา
เพราะบางครั้ง ก็ทำเพียงถ่ายรูปแล้วก็กลับ
บางทีอาจมีบางมุม ที่ "กล้องถ่ายรูป"นั้นมองไม่เห็น
มุมที่ใช้สายตาในการมอง ใช้ความรู้สึกในการรับรู้กับวัตถุตรงหน้า...

เวลาไปไหน 
คุณผู้อ่านได้ใช้เวลากับสิ่งเหล่านั้นตรงหน้า หรือระหว่างทาง
มากกว่าการถ่ายรูปอย่างเดียวบ้างหรือป่าวคะ ^_^


23 พฤศจิกายน 2557

วันที่แดดออก

จากสมุดจด สู่ blog ของฉัน
--------------------------------------


ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส
จริงอยู่ เราอาจจะบ่นว่าร้อน
แต่จะทำอย่างไรได้เล่า
ในเมื่อเรายืนอยู่ประเทศเมืองร้อน
ถ้าให้เลือกระหว่างฟ้าสดใสกับฟ้าสีหม่น
ขอเลือกเวลาฟ้าปลอดโปร่งมากกว่า
ถึงแม้ว่าเราจะต้องทนร้อน ทนแดดมากกว่ากัน
แต่ก็ยังดีกว่าเวลาฟ้าหม่น ดูเหมือนจะร้องไห้เป็นสายฝน
เพราะเวลาที่ท้องฟ้าสดใส
เราได้แสดงออกในกิจกรรมที่อยากทำได้
ถ้าวันใดฟ้ามัวหมอง
บรรยากาศจะดูเหงาหงอยตามไปอีก

ถ้ามองกลับมาที่ตัวเองนะ
เราจะเลือกให้ตัวเองเป็นอย่างท้องฟ้าเวลาใด
ท้องฟ้าสดใส เต็มไปด้วยก้อนเมฆสีขาว
หรือท้องฟ้าหม่นมัวกับก้อนเมฆสีเทาที่บางทีก็ฝนตกมาด้วย

แน่นอนว่าในทุกวัน ย่อมเป็นได้ทั้งสองแบบ
ตามอารมณ์ของคนที่มีปะปนกันไป

แต่เราจะทำอย่างไร?  ให้ เรา ไม่ ปล่อย ใจ รู้สึก มัวหมอง นาน

----------------------------------

21 พฤศจิกายน 2557

วันดีดี

ถ้าหากลองนึกถึงคำว่า "วันดีดี"
คงเป็นวันที่สนุกสนาน ประทับใจ กับอะไรสักอย่าง
บางทีก็อาจเป็นสถานที่ 
บางทีก็เป็นช่วงเวลา
บางครั้งก็อาจเป็นคนคนนั้นที่ไปด้วยกันมา

ถ้าหากเราไม่ประทับใจอะไรบางอย่าง
วันดีดีคงไม่มีให้เราได้นึกถึง 
แต่เพราะเราถูกใจ หรือ like กับอะไรสักอย่าง
ช่วงเวลานั้นกลับยังอยู่ในความทรงจำ
ให้นึกถึงอยู่ ... เรื่อยๆ
ได้ยิ้มออกมา เวลาที่คิดถึงมัน

เพราะความสุขที่เกิดอาจไม่ต้องไปวิ่งตามหา
หรือออกไปข้างนอกเพื่อสร้างสรรค์มันขึ้นมา
บางทีอาจเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาธรรมดา
ช่วงเวลาหนึ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวัน ที่ดำเนินไปเท่านั้นเอง
ขึ้นอยู่กับว่าเราให้ความพิเศษกับมัน
ที่จะแปรเปลี่ยนเป็น "ความสุข" ให้ใจของเรามากน้อยแค่ไหน

---------------------------------------------------------------------
มีคนคนหนึ่งเคยบอกว่า ตอนเขียนเขารู้สึกอย่างไรก็จะเขียนออกมาอย่างนั้น
ความรู้สึกตรงนั้นจะถูกกลั่นกรองมาเป็นตัวอักษร
วันนี้นึกยังไงไม่รู้ เลยเขียนแบบนั้นบ้าง อย่างข้อความข้างต้น
จากปกติ จะมีร่างก่อนอย่างน้อย 1 รอบ

บางที การเขียนแบบคิดสด มันก็รู้สึกดีเหมือนกันนะ
มันได้รู้ ว่า  ความ  คิด  ณ  ตอน  ที่  เขียน  อยาก  เขียน  อะไร :)

20 พฤศจิกายน 2557

บนท้องฟ้า

เวลามองดูเมฆที่ลอยบนท้องฟ้า เช้า หรือเย็น
ในเวลาที่มีดวงอาทิตย์ไปหลบอยู่ข้างหลัง
เออ แสงมันสวยดีนะ
ในบางจังหวะ ก็รู้สึกว่า ก้อนเมฆนั้นมีอิสระจัง
ลอยไป ลอยมาอยู่บนฟ้า
แต่เราจะรู้หรือเปล่าว่า  บนท้องฟ้าปั่นป่วนแค่ไหน
บางทีก้อนเมฆต้องเจอลมพัดแรง
หรือรวมตัวมากจนกลายเป็นเมฆฝน
ซึ่งมันไม่สวยงามสักเท่าไร

ถ้าลองมองในอีกมุมหนึ่ง
คนบนพื้น ก็ต้องพบเจอกับสิ่งต่างๆตามวันเวลา
บางวันเป็นเรื่องดี
บางทีก็เป็นเรื่องเหนื่อยใจ
คนบนพื้นก็ต้องยืนหยัดให้ได้
เมื่อเราสามารถพ้นอุปสรรคเหล่านั้นได้
ในความรู้สึก
จะเป็นเช่นยามท้องฟ้าเวลาหลังฝนตก
ก้อนเมฆสีเทาจะกลับสู่สภาพเดิม
ภาพท้องฟ้าที่เราเห็นว่าสวยในตอนแรก...